ในเดือน ธันวาคม โรนัลโด้
คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือน ไปครอง
ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน
ส่งผลให้เขากลายเป็นผู้แล่นคนที่สามที่ทำเช่นนี้ ได้ ต่อจาก เดนนิส เบิร์กแคมป์
(อาร์เซน่อล, 1997) และ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ (ลิเวอร์พูล,
1996) ตามลำดับ และโรนัลโด้ ก็มายิงประตูที่ 50
ในสีเสื้อ “เร้ดเดวิลส์” ได้สำเร็จ
ในเกมที่พบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
พร้อมกับช่วยให้ต้นสังกัดกลับมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี
ในเดือน เมษายน 2007 โรนัลโด้ ตกเป็นข่าวว่า กำลังถูก
เรอัล มาดริด ให้ความสนใจคว้าตัวไปร่วมทีม
โดยทีมยักษ์ใหญ่จากศึกลาลีกา สเปน ยินดีควักกระเป๋า 54
ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,402 ล้านบาท) เพื่อเป็นค่าตัวของโรนัดด้
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 13 เมษายน โรนัลโด้
ก็ต่อสัญญาฉบับใหม่กับทีมออกไปอีก 5 ปี
พร้อมกับรับค่าเหนื่อยสูงสุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร ที่ 120,000
แสนปอนด์ (ประมาณ 7.56 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์
นอกจากนี้ โรนัลโด้ ยังคว้ารางวัลให้กับตนเองมากมายในฤดูกาล 2006-20007
ไม่ว่าจะเป็น นักฟุตบอลยอดเยี่ยมและนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี
ของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) (เป็นผู้เล่นรายที่ 2
ในประวัติศาสตร์
ที่สามารถคว้ารางวัลเกียรติยศทั้งสองมาครอบครองในเวลาเดียวกัน ต่อจาก แอนดี้ เกรย์ เคยทำได้เมื่อปี 1977
หรือ ราว 30 ปี)
รวมถึงมีชื่อติดหนึ่งในทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล ร่วมกับเพื่อนทีม ยูไนเต็อีก 7 คน
จากการโหวดของแฟนบอลทั่วสหราชอาณาจักร ยิ่งไปกว่านั้น โรนัลโด้
ยังได้รับรางวัลนักฟุตบอลโปรตุเกสยอดเยี่ยมแห่งปี, รางวัลจากสมาคมนักข่าวกีฬาอังกฤษ,
นักเตะยอดเยี่ยมของสโสมสรและของแฟนบอลยูไนเต็ด อีกด้วย
2007-2008 : พาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์
โรนัลโด้ ออกสตาร์ตฤดูกาลนี้ได้อย่างย่ำแย่ หลังโดนไล่ออกในเกมที่พบกับ
พอร์ทสมัธ ก่อนที่จะกลับมายิงประตูให้ทีมเอาชนะ สปอร์ติ้ง ลิสบอน
อดีตต้นสังกัดเดิม ได้สำเร็จ ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม หลังจากนั้น
ประตูจากปลายสตั๊ดของ โรนัลโด้ ก็ไหลมาเทมาอย่างไม่หยุดยั้ง ทั้งในยุโรป บอลลีก
หรือ บอลถ้วย ส่งผลให้ทีม “ปีศาจแดง” ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดช่วงครึ่งฤดูกาลแรก
ในวันที่ 2 ธันวาคม โรนัลโด้
ได้รับการประกาศให้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของยุโรปเป็นอันดับ 2
รองจาก ริคาร์โด้ กาก้า เพลย์เมกเกอร์จอมทัพของ เอซี มิลาน ก่อนที่ถัดมาอีก 2
สัปดาห์ โรนัลโด้ ก็ถูกประกาศให้คว้ารางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกอันดับ 3
รองจาก กาก้า อันดับ 1 และ ลีโอเนล เมสซี่ อันดับ 2
ตามลำดับ
โรนัลโด้ ยังคงโชว์ฟอร์มให้กับ ยูไนเต็ด ได้อย่างร้อนแรงต่อไป
และเขาก็สามารถทำแฮตทริกแรกของเขากับ ยูเนเต็ด ได้ ในเกมที่ถล่ม นิวคาสเซิ่ล 6-0
ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ ในวันที่ 12 มกราคม 2008 และเป็นผลการแข่งขันที่ทำให้ ยูไนเต็ด
ก้าวขั้นมาครองอันดับ 1 ของตารางพรีเมียร์ชิพได้สำเร็จ ขณะที่ฟอร์มการผลิตประตูของ โรนัลโด้
ก็ยังทำงานอย่างต่อเนื่องแบบไม่มีตก โดยตอนนี้ เขายิงประตูให้ทีมรวมไปแล้ว 23
ประตู เทียบเท่ากับ ในซีซั่นก่อน ก่อนที่ในที่สุด ในวันที่ 19
มีนาคม 2008
โรนัลโด้
จะสร้างสถิติเป็นนักเตะตำแหน่งมิดฟิลด์ที่ทำประตูได้มากที่สุดในหนึ่งฤดูกาล
โดยทำลายสถิติเดิมของ จอร์จ เบสต์ อดีตดาวเตะระดับตำนานของ “ปีศาจแดง”
ที่เคยทำไว้ที่ 32 ประตู ในระหว่างปี 1967-68![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpCBftw8tZ5sgzQUBNwMgBhs0EpXGf7wJjDXhSaxLnDnXePbQYKh-hTIvY-k1wLBAZWJIpZXQ1OqtqJAH9D1gsS_2GMXBv5gnj9JYxSSkshai47hJwrkYrnzZhjO8TlclVsReAc6LTq6pZ/s400/Cristiano+Ronaldo+with+a+Ballon+d'Or.jpg)
โรนัลโด้ ถูก เรอัล มาดริด
ให้ความสนใจอีกครั้ง โดยคราวนี้ ทีม “ราชันชุดขาว” ประกาศพร้อมทุ่ม
100 ล้านปอนด์ (6,300
ล้านบาท) เพื่อคว้าตัว โรนัลโด้ ไปร่วมทีม แต่ทว่า ก็โดน ยูไนเต็ด
ปฏิเสธหน้าหงายไปอย่างไม่ใยดี และในวันที่ 10
พฤษภาคม 2008 โรนัลโด้ สามารถยิงประตูสำคัญในเกมนัดสุดท้าย
ที่พบกับ วีแกน ให้ทีมออกนำไปได้ 1-0 จากลูกจุดโทษ ซึ่งถือเป็นประตูรวมที่ 41
และประตูที่ 31 ในศึกพรีเมียร์ชิพ ของเขาแล้วในซีซั่นนี้
ก่อนที่จะมาบวกเพิ่มให้กับตนเองได้อีกหนึ่งลูกในนัดชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า
แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เอาชนะ เชลซี มาได้ ด้วยการดวลจุดโทษ 6-5
ซึ่งถือเป็นถ้วยรางวัลใบทีสองของ ยูไนเต็ด หลังจาก ที่คว้าแชมป์
พรีเมียร์ชิพมาครองได้แล้ว ก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ โรนัลโด้
มีสถิติการยิงประตูเป็นรอง รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่ทำไว้ในปี 2002-2003
อยู่เพียง 2 ลูกเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นผลงานที่ดีพอที่จะทำให้
โรนัลโด้ คว้ารางวัล รองเท้าทองคำประจำฤดูกาล 2007-2008
มาครองได้สำเร็จ
เรอัล มาดริด
โรนัลโด้ ย้ายมาร่วมทีม เรอัล มาดริด อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1
ก.ค. 2009 หลังจากตกลงจรดปากกาเซ็นสัญญากับทาง
"ราชันชุดขาว" เป็นเวลา 6 ปี พร้อมกับได้รับค่าเหนื่อยถึง 13
ล้านยูโร (520 ล้านบาท) ต่อซีซั่น รวมถึงค่าฉีกสัญาสูงลิบถึง
1 พันล้ายูโร (40000
ล้านบาท)
วันเปิดตัว "ซีอาร์9" ปรากฏว่ามีสาวกมาดริดิสต้า
ไปรอต้อนรับที่ซานติเอโก้ เบร์นาเบว กว่า 80000
คนเลยทีเดียว เป็นการทำลายสิถิติแฟนบอลนาโปลี ที่เคยแห่ไปต้อนรับดีเอโก้ มาราโดน่า
75000 คนเมื่อครั้งย้ายจาก บาร์เซโลน่า
ไปเล่นในเซเรีย อา เมื่อปี 1984
โรนัลโด้ ลงเล่นให้ต้นสังกัดครั้งแรกในเกมอุ่นเครื่องกับแชมร็อค
ที่ไอร์แลนด์ ก่อนจะประเดิมเกมลีกในนัดที่พบกับ ลา กอรุนญ่า ในวันที่ 29
สิงหาคม ซึ่งเจ้าตัวซัดประตูได้ทันทีอีกด้วย โดยในฤดูกาลแรกนี้
โรนัลโดทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการลงเล่นเป็นตังจริงทั้งหมด ถึง 35
นัด ทำประตูไปได้ 33 ประตู ซึ่งครองดาวซัลโวสูงสุดของ ลา ลีกา
ในฤดูกาลนั้น โดยโรนัลโด้ลงเล่นในตำแหน่ง กองหน้า
และบางครั้งเขาอาจจะเล่นในตำแหน่ง ปีกซ้าย
พอเข้าสู่ฤดูกาลที่ 2010-11 โรนัลโด้ เขาได้ถูกเปลี่ยนไปใส่เบอร์ 7
และพร้อมกับกุนซือคนใหม่ โชเซ่ มูรินโญ่
เทรนเนอร์ชาวโปรตุเกสที่รู้จักในตัวของโรนัลโด้เป็นอย่างดี ส่งผลให้
"เจ็ทโด้" เค้นฟอร์มเก่งออกมาเรื่อยๆ ในวันที่ 23
ตุลาคม 2010 เจ้าตัวเหมาคนเดียว 4
ประตู ทำให้เรอัล มาดริดถล่มราซิ่งฯ ไป 4-0 ทว่าไฮไลต์สำคัญในซีซั่นดังกล่าว
คือเกมพ่าย บาร์เซโลนา คู่ปรับร่วมลีกถึง 0-5
ที่คัมป์นู
ฤดูกาล 2011-12 ความสำเร็จและการพัฒนาระหว่าง มาดริด กับ
โรนัลโด เป็นไปอย่างก้าวกระโดด โดยฤดูกาลนี้ "ซีอาร์7" กดไปถึง
60 ประตู (รวมทุกรายการ)
และยังสามารถทะลุไปถึงรอบรองชนะเลิศ ยูซีแดล แต่ก็แพ้บาเยิร์นมิวนิก ไป 1-3
จากการดวลจุดโทษ อย่างไรก็ตาม โรนัลโดก็สามารถนำทีมได้แชมป์ ลาลีกา
ได้เป็นครั้งที่ 32 ของสโมสร
ส่วนในซีซั่นล่าสุด ภาพรวมของเรอัล มาดริด ตกต่ำมาก
เพราะไม่มีโทรฟี่ติดมือแม้แต่รายการเดียว แถมยังมีการแบ่งแยกพรรคพวกกันด้วย
อีกทั้ง โรนัลโด้ กลับไม่กินเส้นกับทางด้าน มูรินโญ่ อีกต่างหาก ส่งผลให้
เฮดโค้ชจากแดนฝอยทอง โดนปลดออกจากตำแหน่งไปในท้ายที่สุด ขณะที่ดาวยิงโปรตุกีส
ก็ตกเป็นข่าวย้ายทีมทันที เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน
โดยเป้าหมายอยู่ที่ทีมเก่าอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ทว่าล่าสุดเมื่อวันที่ 3
กรกฎาคม โรนัลโด้ ออกมายืนยันแล้วว่า คงหมดโอาสกลับรังเก่าแน่นอนแล้ว
วันที่ 18 สิงหาคม 2013
โรนัลโด้ ลงสนามครบ 200 เกมให้กับเรอัล มาดริด ในนัดเปิดบ้านชนะเรอัล
เบติส 2-1 แต่ "เจ็ทโด้"
ทำประตูในเกมดังกล่าวไม่ได้ อย่างไรก็ตาม โรนัลโด้
เบิกประตูแรกให้ตัวเองในซีซั่นนี้ได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 1
กันยายน 2013 ในแมตช์ถล่มแอธ.บิลเบา 3-1
จากนั้น โรนัลโด้ ตัดสินใจฝากอนาคตไว้กับ "ราชันชุดขาว"
ด้วยการต่อสัญญายาวถึงปี 2018 พร้อมค่าเหนื่อยสูงถึง 17
ล้านยูโรต่อปี (ประมาณ 765 ล้านบาท)
ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงที่สุด ต่อมาวันที่ 17
กันยายน 2013 ดาวยิงโปรตุกีส
สามารถกดแฮตทริกครั้งที่สองของในชีวิตการค้าแข้งของตัวเอง
ซึ่งเกิดขึ้นในศึกยูซีแอล รอบแบ่งกลุ่ม นัดแรกที่ไล่ต้อน กาลาซาตาราย 6-1
โรนัลโด้ ลงสนามครบนัดที่ 100 ให้กับตัวเอง ในศึกชปล. เป็นการพบกับ
โคเปนเฮเก้น เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2013
และหนูโด้ ก็พา มาดริด ชนะตัวแทนจากเดนมาร์ก กระเจิง 4-0
ในซานติเอโก้ เบร์นาเบว และในวันที่ 23 ตุลาคม 2013
โรนัลโด้ เหมาคนเดียวสองตุง ในแมตช์เปิดบ้านทุบยูเวนตุส 2-1
เท่ากับว่า "เจ็ทโด้" ทำประตูในรายการดังกล่าวไปทั้งสิ้น 57
ลูก มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ตลอดการหากนับเฉพาะประตูในศึกยุโรป
ในการลงสนามเกมเยือนนัด 106 ให้กับ เรอัล มาดริด เมื่อวันที่ 2
พฤศจิกายน 2013 เขายิงประตูได้ถึง 100
ลูกเฉพาะเกมนอกบ้านสำเร็จ ในเกมที่บุกเอาชนะ ราโย บาเยกาโน่ 3-2
และทำให้เขามีค่าเฉลี่ยทำประตูสูงถึง 0.94 ลูกต่อหนึ่งนัด โดยในวันที่ 9
พฤศจิกายน โรนัลโด้ ซัดแฮตทริกหนที่ 19 ของศึก ลา ลีก้า สเปน (โอเพ่นเพลย์,
จุดโทษและฟรีคิก) ในเกมที่เอาชนะ เรอัล โซเซียดัด 5-1
เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2014
โรนัลโด้ คว้ารางวัล บัลลงดอร์ 2013 ด้วยการเอาชนะคู่แข่งตลอดกาลอย่าง
ลิโอเนล เมสซี่ ที่คว้ามาสี่สมัยก่อนหน้านี้และ ฟร้องค์ ริเบรี่
เป็นสามรายชื่อสุดท้าย ซึ่งเขาได้กล่าวบนเวทีในขณะรับรางวัลว่า
"ไม่มีคำใดที่จะอธิบายช่วงเวลานี้ได้" และ
"มันยากยิ่งนักที่จะคว้ารางวัลนี้มาครอง"
ในวันที่ 15 มีนาคม 2014
หลังจากที่เขาซัดประตูได้ในเกมที่พบกับ มาลาก้า ทำให้ โรนัลโด้ เป็นคนแรกที่ซัด 25
ประตูติดต่อกัน 5 ฤดูกาลรวด โดยหลังจากนั้นเมื่อวันที่ 2
เมษายน เขาก็สามารถพังประตูที่ 100 ของศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
ในเกมที่พบกับ ดอร์ทมุนด์
โรนัลโด้ จบฤดูกาล 2013/14 ด้วยการยิงทั้งสิ้น 31
ประตูจาก 30 เกมลีก คว้ารางวัลรองเท้าทองคำยุโรปร่วมกับ
หลุยส์ ซัวเรซ นอกจากนี้ยังสร้างสถิติยิงประตูรวมกันของ BBC (เบล,
เบนเซม่า และคริสเตียโน่) ไปมากถึง 97
ลูก
เปิดซีซั่น 2014/15
เขาก็สามารถยิงประตูได้เลยในเกมที่เอาชนะ กอร์โดบา 2-0
โดยหลังจากนั้นในวันที่ 28 สิงหาคม 2014
โรนัลโต้ ได้รับรางวัล นักเตะยุโรปยอดเยี่ยมแห่งฤดูกาล 2013-14
ต่อมาเมื่อวันที่ 20 กันยายน เขาซัดแฮตทริกที่ 20
ในลีกได้สำเร็จจากเกมที่ถล่ม ลา กอรุนญ่า 8-2
และทำให้เขามีสถิติตามหลัง เตลโม่ ซาร์ร่า กับ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ สองตำนานที่ทำไว้สูงสุดตลอดกาล
22 ครั้ง
โดยในวันที่ 6 ธันวาคม 2014
โรนัลโด้ กลายเป็นนักเตะที่ยิง 200 ประตูใน ลา ลีก้า สเปน
เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์จากการลงสนามเพียงแค่ 178
นัด และยังเป็นการยิงแฮตทริกเป็นหนที่ 23
ทุบสถิติของตำนานที่เคยทำไว้เป็นที่เรียบร้อย จากเกมที่พบกับ เซลต้า บีโก้
เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2015
เขาคว้ารางวัล ฟีฟ่า บัลลงดอร์ 2014 มาครองอีกครั้ง
และหลังจากนั้นในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ โรนัลโด้
สามารถยิงประตูให้ทีมเอาชนะ ชาลเก้ 2-0 ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
เลกแรกและยิงเพิ่มได้อีก 2 ประตูในเลกสอง ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ทำประตูมากที่สุดตลอดกาลในรายการนี้ทันทีด้วยจำนวนทั้งสิ้น
78 ประตู นำหน้า ลิโอเนล เมสซี่ ที่ยิงไป 75
ประตู
ในวันที่ 5 เมษายน 2015
โรนัลโด้ ยิง 5 ประตูเป็นครั้งแรกในชีวิตการค้าแข้งของเขา
และใช้เวลาเพียง 8 นาทีในการทำแฮตทริก จากเกมที่ถล่มเอาชนะ กรานาด้า
9-1 ในศึก ลา ลีก้า สเปน โดยหลังจากนั้นเพียง 3
วัน (8 เมษายน) เขาก็ยิงประตูที่ 300
ให้กับ "ราชันชุดขาว" สำเร็จ ในเกมที่เอาชนะ ราโย่ บาเยกาโน่ 2-0
ซึ่งต่อมาอีก 10 วัน
เขาก็ได้กลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลที่สามารถยิงรวมกัน 50
ประตูในทุกรายการติดต่อกัน 5 ครั้งรวด
หลังจากที่ยิงสามเม็ดในเกมที่ทีมถล่ม มาลาก้า 3-1
สำหรับฤดูกาล 2015/16 หลังจากการเข้ามาคุมทีมของ ราฟา
เบนิเตซ ทำให้เขายิงประตูไม่ได้ในสองเกมแรกของฤดูกาล แต่เขาก็กลับมายิงทีเดียว 5
ลูกจากที่ถล่มเอาชนะ เอสปันญ่อล 6-0 ซึ่งห้าประตูดังกล่าวทำให้เขายิงไปแล้ว
230 ลูกจากการลงสนาม 203
เกมเท่านั้น แซงหน้าสถิติที่ ราอูล กอนซาเลซ ทำไว้ที่ 228
ลูกจาก 550 เกมให้กับ เรอัล มาดริด ใน ลา ลีก้า
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2015
โรนัลโด้ มีชื่อเข้าชิง ฟีฟ่า บัลลงดอร์ 2015
ร่วมกับ เนย์มาร์ และเมสซี่ ต่อมาหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ในวันที่ 8
ธันวาคม เขาทำคนเดียว 4 ประตูให้ทีมเอาชนะ มัลโม่ 8-0
ในยูซีแอลรอบแบ่งกลุ่ม
งานอื่น
ด้วยความสามารถและความโด่งดัง
จึงมีเอเย่นต์สนใจเขามาเป็นพรีเซนเตอร์อยู่หลายชิ้น
ภาพลักษณ์ของโรนัลโด้สร้างความสำเร็จให้กับการตลาดมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น
วิดีโอเกมต่าง ๆ ไปจนโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ความหล่อเหลาของเขาก็ยังทำให้เขาได้รับการติดต่อจากนิตยสารแฟชั่นอีกด้วย
นิตยสารโวกของอเมริกา นำเสนอเขาไปเป็นแบบปก
และเขายังเป็นพรีเซนเตอร์ให้ผลิตภัณฑ์รองเท้ากีฬาอย่าง ไนกี้
โดยทางไนกี้เล็งเห็นว่าโรนัลโด้มีฝีเท้าที่เป็นนักเตะที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก
จึงได้คุยกับโรนัลโด้เพื่อผลิตรองเท้าที่เบา พัฒนารองเท้า รองเท้ารุ่น Mercurial
Vapor ออกมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น